คุณค่าของเรื่องโคลนติดล้อ


คุณค่าของเรื่อง
๑. เป็นตัวอย่างของบทความที่ดี
๒. เสนอข้อคิดเกี่ยวกับปัญหาของบ้านเมืองในเรื่องค่านิยมที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศให้เจริญ
๓. ให้แนวคิดที่เป็นประโยชน์ว่าอาชีพอื่นก็สามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้
            คุณค่าด้านเนื้อหา
๑) รูปแบบ  บทความเรื่องโคลนติดล้อ  ตอน  ความนิยมเป็นเสมียนเป็นงานเขียนประเภทร้อยแก้วที่ให้ทั้งความรู้และความคิด  มีเนื้อหาสร้างสรรค์ทรงคุณค่า  ซึ่งเป็นการใช้รูปแบบงานเขีนได้อย่างเหมาะสมกับเนื้อหา
๒)  องค์ประกอบของเรื่อง
       ๒.๑  สาระ  เป็นการแสดงความคิดเรื่องค่านิยมเกี่นวกับอาชีพที่คนทั่วไปมักนิยมยกย่องข้าราชการ  และผู้ที่ทำงานในสำนักงาน  จนมองข้ามความสำคัญของอาชีพอื่น  เหมือนโคลนติดล้อรถ
        ๒.๒  โครงเรื่อง  บทความเรื่องโคลนติดล้อ  ตอน  ความนิยมเป็นเสมียน  เป็นร้อยแก้วแสดงความคิดเห็น  ที่มีองค์ประกอบของบทความครบทั้ง    ส่วน  คือ
         ส่วนนำ  :  มีการใช้ข้อความที่ต่อเนื่องจากบทที่    เรื่องการบูชาหนังสือจนเกินเหตุ  ดังนั้น ผู้อ่านบทความโคลนติดล้อที่ลงพิมพ์อย่างต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์สยามออฟเซอร์เวอร์  จะเห็นการเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาที่พระองค์ทรงเปิดประเด็นมุมมองถึงความเสียหายที่จะตามมาของผู้ที่รับการศึกษาในระบบโรงเรียนมีมากขึ้น
         ส่วนเนื้อเรื่อง  :  มีการแบ่งออกเป็นย่อหน้าทั้งหมด    ย่อหน้า  แต่ละเรื่องโยงกันเป็นลำดับ  ตั้งแต่การตั้งความหวังในอนาคตเมื่อเรียนจบ  โดยลืมพื้นความหลังทางวัฒนธรรมว่าสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม  แต่ละย่อหน้ามีการอธิบายและการยกตัวอย่างชัดเจน
          ส่วนสรุป  :  ผู้เขียนได้กล่าวถึงหนทางการแก้ปัญหา  และใช้กลวิธีในการปิดเรื่องโดยใช้คำถามในบรรทัดสุดท้ายว่า  เพราะฉะนั้นท่านจะไม่ช่วยกันบ้างหรือ
กลวิธีในการแต่ง  บทความเรื่องโคลนติดล้อ  ตอน ความนิยมเป็นเสมีียน  ผู้ประพันธ์มีกลวิธีการเขียนที่ชวนอ่าน  น่าติดตาม  มีการลำดับเนื้อหาเป็นขั้นตอน  อ่านเข้าใจง่าย  โดยแบ่งย่อหน้ายาวสั้นสลับกันไป  รวม  ๑๑  ย่อหน้า  แต่ละย่อหน้าทีประเด็นสำคัญ  มีเนื้อหาสาระน่าสนใจ  และมีการนำเสนอต่อเนื่องสัมพันธ์กันอย่างดี  เริ่มต้นจากคำนำที่จูงใจให้ผู้อ่านสนใจติดตาม  โดยการนำเสนอปัญหาที่เกิดจากการให้การศึกษาแก่ประชาชน  ซึ่งผู้ประพันธ์แสดงความคิดเห็นว่า  "ให้ผลเป็นที่น่ารำคาญ"  ทำให้ผู้อ่านเกิดความสนใจติดตามหาคำตอบไม่ว่าปัญหานั้นคืออะไรในส่วนของเนื้อหาที่นำเสนอแต่ละย่อหน้า  ผู้ประพันธ์ไดอธิบายเนื้อหา  ความสำคัญ  แสดงเหตุผล  ใช้ตัวอย่างประกอบได้อย่างชัดเจน  บางครั้งมีการกระตุ้นให้ผู้อ่านคิดโดยใช้คำถามให้ผู้อ่านนำไปคิดต่อ  นับเป็นวิธีการประพันธ์ที่มีคุณค่า  ใช้เป็นแบบอย่างขอองบทความแสดงความคิดเห็นได้เป็นอย่างดี
๓) แนวคิดของผู้เขียน
       ๑)  ความหมายของคำว่าเสมียน  การเป็นเสมียนความหมายของผู้เขียน  หมายถึง  อาชีพที่ทำงานในบริษัท    สำนักงาน  ทั้งเอกชนและของรัฐบาล  เป็นผู้ที่ได้รับเงินเดือนเป็นประจำทุกเดือน
        ๒)  ทุกอาชีพมีความสำคัญเหมือนกัน  อาชีพทุกอาชีพเป็นอาชีพที่มีเกียรติยศเท่าๆ กัน  สามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้เหมือนกัน
        ๓)  ความนิยมเป็นเสมียน  ความนิยมเป็นเสมียนเปรียบเหมือนโคลนอีกก้อนที่ติดล้อรถ  เป็นตัวถ่วงความเจริญ  เพราะค่านิยมของคนที่เห็นอาชีพเสมียนเป็นอาชีพที่มีเกียรติกว่าอาชีพอื่นๆ  ในสังคม  ทำให้ผู้มีความรู้ความสามารถจำนวนมากมายึดติดอยู่กับตำแหน่ง  ยศศักดิ์  ทั้งๆ ที่ถ้าไปประกอบอาชีพอื่นจะได้ประโยชน์มากกว่า
         ๔)  การใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ  ผู้ที่นิยมเป็นเสมียนในยุคสมัยนั้น  มักมีฐานะความเป็นอยู่ที่เกินฐานะ  โดยเฉพาะการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพื่อรักษาเกียรติยศและหน้าตาของตน
      ๕)  ความสำคัญของการเกษตร  ชาวไร่  ชาวนา  ชาวสวน  เป็นผู้ผลิต  มีความสำคัญอย่างยิ่งในประเทศเกษตรกรรมแบบไทย
          ๖)  การมองข้ามความสำคัญของท้องถิ่น  ชายหนุ่มที่เข้ามาทำงานในเมืองมักลืมถิ่นฐานบ้านเกิด ไม่ยอมกลับไปทำงานในภูมิลำเนาของตน
           ๗)  ค่านิยมเกี่ยวกับอาชีพ  คนทั่วไปมักยกย่องข้าราชการและผู้ที่ทำงานในสำนักงาน  จนมองข้ามความสำคัญของอาชีพอื่น
           ๘)  อิทธิพลของสื่อมวลชน  สื่อมวลชนและสาธารณชนมีอิทธิพลอย่างมากในการเผยแพร่ความคิด  โดยการยกย่องให้เกียรติชาวนาจะทำให้เกิดกระแสของคนทั่วไปตามมา
            ๙)  ความไม่มั่นคงในอาชีพทำให้เกิดปัญหาในสังคมตามมา  ผู้ที่ต้องออกจากอาชีพที่ตนทำเมื่ออายุมากขึ้น  มักถูกชักจูงให้ประพฤติทุจริตได้ง่ายเมื่อจับแนวคิดของผู้เขียนได้ดังกล่าวแล้ว  จะต้องหาเหตุประกอบการพิจารณา  ได้แก่สภาพของสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๑. การสรรคำ  ในแง่ของศิลปะการประพันธ์  ทรงพระราชนิพนธ์โดยสำนวนภาษาที่เรียบง่าย  แต่แฝงไว้ด้วยศิลปะการใช้ภาษา  ทำให้บทความน่าอ่านและน่าติดตามดังต่อไปนี้
    ๑.๑ ใช้ถ้อยคำเรียบง่าย  สื่อความตรงไปตรงมา มีการใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษบ้างดังตัวอย่าง
      “..เด็กทุก ๆ คนซึ่งเล่าเรียนสำเร็จออกมาจากโรงเรียนล้วนแต่มีความหวังฝังอยู่ว่าจะได้มาเป็นเสมียน หรือเป็นเลขานุการ และจะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งขึ้นเร็ว ๆ เป็นลำดับไป เด็กที่ออกมาจากโรงเรียนเหล่านี้ย่อมเห็นว่ากิจการอย่างอื่นไม่สมเกียรติยศนอกจากการเป็นเสมียน ข้าพเจ้าเองได้เคยพบเห็นพวกหนุ่ม ๆ ชนิดนี้หลายคนเป็นคนฉลาดและว่องไว และถ้าหากเขาทั้งหลายนั้นไม่มีความกระหายจะทำงานอย่างที่พวกเขาเรียกกันว่า "งานออฟฟิศ" มากีดขวางอยู่แล้ว เขาก็อาจจะทำประโยชน์ได้มาก..
๑.๒ การซ้ำคำ  เพื่อเน้นย้ำแสดงความหนักแน่นของความ  ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม  เช่น
 “ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรัก ไม่มีใครอาลัย เป็นการลงเอยอย่างมืดแห่งชีวิตที่มืดไม่มีสาระ
๑.๓  การใช้โวหาร  ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น  เช่น  ชื่อเรื่องบทความ  “โคลนติล้อ”  เป็นการใช้โวหารภาพพจน์แบบอุปลักษณ์  โคลนหมายถึง  ปัญหาและอุปสรรคที่กีดขวางความเจริญของประเทศชาติเหมือนโคลนที่ติดล้อรถทำให้รถเคลื่อนไปได้ไม่สะดวก
นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาพพจน์แบบอุปมา  เป็นการใช้ความเปรียบเทียบให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตามและเห็นด้วย  ดังตอนที่กล่าวถึงผู้นิยมความเป็นเสมียนว่า “..ถ้าจะเปรียบพืชที่เขาได้ทำให้งอกต้องนับว่าน้อยกว่าผลที่เขาได้กินเข้าไป ..
คุณค่าด้านสังคม
      ๑. สะท้อนภาพชีวิตและค่านิยมของสังคมไทยในอดีต  เมื่อผู้อ่านได้อ่านบทความแล้ว  จะมองเห็นภาพสังคมและค่านิยมของผู้คนในสมัยรัชกาลที่ ๖  ได้เป็นอย่างดี  เช่น  ค่านิยมที่ยกย่องคนรับราชการ  ทำให้ผู้มีการศึกษาชีชีวิตอยู่ในเมืองหลวง  ไม่กลับไปประกอบอาชีพในภูมิละเนาของตน  ดังตัวอย่าง
      “..เขาตอบว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับความศึกษามาจากโรงเรียนแล้ว ไม่ควรจะเสียเวลาไปทำงานชนิดซึ่งคนที่ไม่รู้หนังสือก็ทำได้ และเพราะเขาไม่อยากจะลืมวิชาที่เขาได้เรียนรู้มาจากโรงเรียนนั้นด้วย เพราะเหตุนี้เขาสู้สมัคร อดอยากอยู่ในกรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเพียงเดือนละ ๑๕ บาทหรือ ๒๐ บาท ยิ่งกว่าที่จะกลับไปประกอบการเพื่อเพิ่มพูนความสมบูรณ์แห่งประเทศในภูมิลำเนาเดิมของเขา..
       ค่านิยมผิดๆ  ของผู้ที่นิยมเป็นเสมียน  ซึ่งส่งผลให้ต้องอดทนต่อความลำบาก  เพราะต้องใช้ความเป็นอยู่แบบเกินฐานะใช้จ่ายอย่างสุรุ่นสุร่าย  เพื่อรักษาเกียรติและหน้าตาของคน  ดังตัวอย่าง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อีสาน ชนบท    “..ในเงินเดือน ๑๕ บาทนี้พ่อเสมียนยังอุตส่าห์จำหน่ายจ่ายทรัพย์ได้ต่าง ๆ เช่นนุ่งผ้าม่วงสี ใส่เสื้อขาว สวมหมวกสักหลาด และในเวลาที่กลับจากออฟฟิศแล้วก็ต้องสวมกางเกงแพรจีนด้วย และจะต้องไปดูหนังอีกอาทิตย์ละ ๒ ครั้งเป็นอย่างน้อย..
        ๒. ทราบปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในอดีต  บทความนี้ทำให้เราทราบว่าสมัยรัชกาลที่    ปัญหาที่คอบขัดขวางถ่วงความเจริญของบ้านเมืองในขณะนั้นว่ามีอะไรบ้าง  เช่น  การเชื่อถือข้อความทางหนังสือพิมพ์ที่ยังไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริง  ชายหนุ่มที่เข้ามาทำงานในเมืองแล้วไม่กลับไปประกอบอาชีพในภูมิลำเนาของตน
       ๓. สะท้อนข้อคิดที่สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต  บทความเรื่องโคลนติดล้อ ให้ข้อคิดแก่คนในสังคมไทยได้เป็นอย่างดีว่า  ไม่ควรลืมรากฐานของตนเอง  ไม่ดูถูกอาชีพเกษตรกรรม  ไม่ควรใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเกินรายและฐานะทางเศรษฐกิจของตนและที่สำคัญควรรู้จักใช้ความรู้ความสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างเต็มที่  ซึ่งข้อคิดนี้ยังไม่ล้าสมัยสามารถนำไปปรับใช้ได้เป็นอย่างดีในปัจจุบัน
       การนำข้อคิดจากบทความเรื่อง  โคลนติดล้อไปใช้ในชีวิตประจำวันจึงเป็นการเปลี่ยนโลกทัศน์และแนวคิดแบบใหม่  ซึ่งถ้าผู้อ่านเห็นด้วย  คนไทยก็จะไม่ทิ้งภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทยที่เคยเป็นมา  และควรส่งเสริมให้เยาชนไทยในสมัยปัจจุบันไม่ให้ลืมถิ่นกำเนิดของตนและต้องสนับสุนนให้ผู้มีความรู้ความสามารถกลับไปช่วยพัฒนาท้องถิ่นของตน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น